แอร์เอเชียอินโดนีเซีย ได้ออกแถลงการณ์
เครื่องบินแอร์เอเชียที่ยวบิน QZ8501 เป็นเครื่องบิน แอร์บัส เอ320-200 หมายเลขเครื่อง คือ PK-AXC ออกเดินทางจากสุราบายา สู่สิงคโปร์ ได้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบิน เมื่อเวลา 7.24 น. เช้าวันนี้ (28 ธ.ค. 2557) ขณะนี้ ยังไม่ทราบสถานะของผู้โดยสารและลูกเรือบนเที่ยวบินนี้ ส่งทีมเร่งค้นหาแล้ว เที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารทิ้งสิ้น 155 คน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 138 คน เด็ก 16 คน และทารก 1 คน รวมทั้งนักบิน 2 คนและลูกเรือ 5 คนชาวสิงคโปร์ 1 คน มาเลเซีย 1 คน เกาหลีใต้ 3 คน ฝรั่งเศส 1 คน และชาวอินโดนีเซีย 156 คน
รายงานข่าวล่าสุด หน่วยNational Search and Rescue (Basarnas)ของอินโดนีเซีย แจ้งว่าเครื่องบินแอร์เอเชีย QZ8501ตกลงในมหาสมุทรที่พิกัด 03.22.46 S,108.50.07 E ห่างจากเกาะเบลิตุงประมาณ145กม.เนื่องจากประสบกับสภาพอากาศ
สายการบินแอร์เอเชียอินโดนีเซีย ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยืนยันว่าเที่ยวบิน QZ8501 โดยให้บริการด้วยเครื่องบิน แอร์บัส เอ320-200 หมายเลขเครื่องคือ PK-AXC ออกเดินทางจากสุราบายาสู่สิงคโปร์ได้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบิน เมื่อเวลา 7.24 น. เช้าวันนี้ (28 ธ.ค. 2557) โดยขณะนี้ ยังไม่ทราบสถานะของผู้โดยสารและลูกเรือบนเที่ยวบินนี้ โดยจะแจ้งข้อมูลให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนทราบทันทีที่เรามีข้อมูลเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ทีมค้นหาและช่วยเหลือกำลังเร่งทำงานและแอร์เอเชียอินโดนีเซียได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อส่งความช่วยเหลือไปให้ ซึ่ง สายการบินแอร์เอเชียอินโดนีเซียได้จัดเตรียมหมายเลขฉุกเฉินสำหรับครอบครัวและญาติของผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าว คือ หมายเลข : +622129850801 (ขอสงวนเบอร์สายด่วนแอร์เอเชียฉุกเฉินไว้สำหรับเฉพาะให้ครอบครัวและญาติมิตรของผู้โดยสารเท่านั้น)และแอร์เอเชียอินโดนีเซียจะแจ้งข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมทันทีที่เรามีข้อมูล โดยสามารถติดตามได้ที่ www.airasia.com
ล่าสุด สายการบินแอร์เอเชียอินโดนีเซีย ได้ชี้แจงเพิ่มเติมฉบับที่ 2 ว่าสายการบินแอร์เอเชียอินโดนีเซีย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยืนยันว่าเที่ยวบิน QZ8501 ซึ่งออกเดินทางจากสุราบายา สู่ สิงคโปร์ได้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบิน เมื่อเวลา 7.24 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองสุราบายา) เช้าวันนี้ (28 ธ.ค. 2557) เที่ยวบินดังกล่าวออกเดินทางจากสนามบินจูอันดา เมืองสุราบายา เมื่อเวลา 05.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น
เครื่องบินที่ให้บริการเที่ยวบินนี้คือ แอร์บัส เอ320-200 หมายเลขเครื่อง PK-AXC โดยมีนักบินจำนวน 2 คน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 4 คน และวิศกรอากาศยาน 1 คน
กัปตันผู้ควบคุมเครื่องบินมีชั่วโมงบินทั้งสิ้น 6,100 ชั่วโมง ส่วนนักบินผู้ช่วยมีชั่วโมงบินทั้งสิ้น 2,275 ชั่วโมง
เที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารทิ้งสิ้น 155 คน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 138 คน เด็ก 16 คน และทารก 1 คน รวมทั้งนักบิน 2 คนและลูกเรือ 5 คน
ผู้โดยสารบนเที่ยวบินนี้ ประกอบด้วย ชาวสิงคโปร์ 1 คน ชาวมาเลเซีย 1 คน ชาวเกาหลีใต้ 3 คน ชาวฝรั่งเศส 1 คน และชาวอินโดนีเซีย 156 คน
ขณะนี้ ทีมค้นหาและช่วยเหลือกำลังเร่งทำงานภายใต้คำแนะนำจากสถาบันการบินพลเรือนของอินโดนีเซีย (Indonesia of Civil Aviation Authority หรือ CAA) และแอร์เอเชียอินโดนีเซียได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในทุกทาง
เครื่องบินทำการบินตามเส้นทางที่ได้แจ้งไว้ ก่อนจะถูกขอให้เบี่ยงออกจากเส้นทางระหว่างทางเนื่องจากสภาพอากาศ ก่อนจะขาดการสื่อสารกับหอบังคับการบิน ขณะนั้นยังอยู่ในการควบคุมของหอบังคับการบินอินโดนีเซีย (Indonesian Air Traffic Control หรือ ATC)
รายงานข่าวล่าสุด หน่วยNational Search and Rescue (Basarnas)ของอินโดนีเซีย แจ้งว่าเครื่องบินแอร์เอเชีย QZ8501ตกลงในมหาสมุทรที่พิกัด 03.22.46 S,108.50.07 E ห่างจากเกาะเบลิตุงประมาณ145กม.เนื่องจากประสบกับสภาพอากาศ
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเหตุเครื่องบินแอร์บัส A320-200 ของสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน QZ8501 ขาดการติดต่อกับศูนย์บังคับการบินทางอากาศในจาการ์ตาของอินโดนีเซีย ตั้งแต่เมื่อเวลา 06.17 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลาในประเทศไทย หลังจากออกเดินทางจากเมืองซูราบายาของอินโดนีเซีย เมื่อเวลา 05.20 น. เพื่อมุ่งหน้าไปยังสิงคโปร์ โดยมีกำหนดเดินทางถึงสิงคโปร์ ในเวลา 08.30 น.แต่เครื่องบินได้ขาดการติดต่อไปบริเวณเหนือทะเลชวา เมื่อเวลา 07.24 น.
สื่อมวลชนอินโดนีเซีย รายงานว่า เครื่องบินลำดังกล่าวบรรทุกผู้โดยสาร 155 คน และลูกเรืออีก 7 คน รวมทั้งหมด 162 คน ผู้โดยสารส่วนใหญ่ถือสัญชาติอินโดนีเซีย 149 คน ที่เหลือเป็นเกาหลีใต้ 3 คน มาเลเซีย 1 คน สิงคโปร์ 1 คน และอังกฤษ 1 คน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่การบินคนหนึ่ง เปิดเผยว่า เครื่องบินได้ร้องขอเส้นทางใหม่ก่อนจะขาดการติดต่อไป ขณะนี้สายการบินแอร์เอเชียกำลังเร่งติดตามค้นหา และได้จัดตั้งสายด่วนเพื่อให้ข้อมูลแก่ครอบครัวและเพื่อนของผู้โดยสารบนเครื่องแล้ว
ด้านสำนักงานการบินพลเรือนสิงคโปร์แถลงการณ์ว่า เครื่องบินขาดการติดต่อไปในขณะที่อยู่ในเขตข้อมูลการบินอินโดนีเซียห่างจากพรมแดนเขตข้อมูลการบินสิงคโปร์กับอินโดนีเซียไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 200 ไมล์ทะเล ขณะนี้สิงคโปรได้เตรียมพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกองทัพอากาศและกองทัพเรือ เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการอินโดนีเซียในการค้นหาเครื่องบิน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า ขณะบินไม่มีประกาศเตือนเรื่องพายุในสิงคโปร์
SILKSPAN
วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557
หอยแมงภู่ ลอยฟ้า ไม่เขื่ออย่าลบหลู่
หอยแมลงภู่ (อังกฤษ: Asian green mussel; ชื่อวิทยาศาสตร์: Perna viridis) จัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสคาเป็นหอยสองฝา สีของเปลือกเปลี่ยนไปตามสภาพการอยู่อาศัย กล่าวคือ ถ้าอยู่ใต้น้ำตลอดเวลามีสีเขียวอมดำ ถ้าอยู่บริเวณน้ำขึ้นน้ำลง ถูกแดดบ้างเปลือกจะออกเหลือง เปลือกด้านนอกมีสีเขียว ส่วนท้ายจะกว้างกว่าส่วนหน้า เนื้อหอยมีสีเหลืองนวลหรือสีส้ม มีหนวดหรือเส้นใยเหนียวสำหรับเกาะหลักเรียกว่า เกสร หรือ ซัง
หอยแมลงภู่ ขนาดความยาวของเปลือกหอยที่สามารถสืบพันธุ์ได้มีความยาวตั้งแต่ 2.13 เซนติเมตรขึ้นไป มีความยาวตั้งแต่ 4-20 เซนติเมตร เป็นหอยที่กระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลแถบอินโดแปซิฟิก กินอาหารแบบกรองกิน ซึ่งกินได้ทั้งแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ หอยแมลงภู่มีทั้งเพศแยก และมีสองเพศในตัวเดียวกัน มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว หอยเพศผู้จะมีลำตัวหรือที่ห่อหุ้มตัวสีครีมหรือขาว ส่วนเพศเมียจะมีสีส้ม มีช่วงฤดูสืบพันธุ์อยู่ 2 ช่วงในรอบ 1 ปี คือช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
หอยแมลงภู่ อาศัยด้วยการเกาะตามโขดหินและตามไม้ไผ่บริเวณชายฝั่งทะเล ห่างฝั่งประมาณ 1,000-3,000 เมตร ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้ง 2 ฝั่งทะเล
หอยแมลงภู่เมื่อปรุงสุกแล้ว
เป็นหอยที่นิยมบริโภคกันเป็นอย่างมาก สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น หอยทอด, ออส่วน เป็นต้น เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีการเพาะเลี้ยงกันมาเป็นเวลานาน โดยที่พันธุ์ของหอย เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงจะอาศัยจากธรรมชาติ ที่เมื่อหอยในธรรมชาติได้ผสมพันธุ์และปฏิสนธิเป็นลูกหอยตัวอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กลอยไปตามกระแสน้ำแบบแพลงก์ตอนแล้ว จะใช้วัสดุที่เพาะเลี้ยงปักลงไปในทะเล เพื่อให้ลูกหอยนั้นเกาะอาศัย[2] แบ่งออกได้เป็น การเลี้ยงแบบปักหลักล่อลูกหอย, การเลี้ยงแบบแพ, การเลี้ยงแบบแขวนบนราวเชือก และการเลี้ยงแบบตาข่ายเชือก แบบที่นิยมเลี้ยงกันมาก คือ แบบปักหลักล่อลูกหอย โดยใช้ไม้ไผ่หรือไม้ลวกในการล่อลูกหอยในระดับน้ำลึก 4-6 เมตร และเลี้ยงจนมีขนาดใหญ่ ถึงขนาดต้องการ บางแห่งนิยมใช้ไม้ไผ่ทำเป็นโป๊ะ เพื่อดักจับปลาและล่อลูกหอยในพื้นที่ 1 ไร่ หรือ 1,600 ตารางเมตร จะปักหลักได้ประมาณ 1,200 หลัก ทั้งนี้ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 6-8 เดือน จะได้หอยขนาดความยาวเฉลี่ย 5-6 เซนติเมตร เป็นขนาดที่สามารถส่งตลาด แต่ก็เป็นสัตว์ที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมมาก เช่น อุณหภูมิร้อน หรือน้ำเสีย หรือมีน้ำจืดปะปนลงมาในทะเลเป็นจำนวนมาก หอยก็จะตาย ซึ่งภายในรอบปีสามารถเลี้ยงได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น[2] นอกจากนี้แล้ว เปลือกหอยสามารถนำไปบดเพื่อผสมเป็นอาหารสัตว์ และผสมทำเป็นยา
ดูกันแบบ เห็นๆ นี่คือถุงน้ำหมึก ของหมึกกระดอง เอาใว้พ่นใส่เพื่อพลางตัว หมึกหรือปลาหมึก[1] (อังกฤษ: Cuttlefish, Octopus)
หมึกหรือปลาหมึก[1] (อังกฤษ: Cuttlefish, Octopus) เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีขนาดใหญ่ เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว และว่องไว มีหนวดรอบปาก 4-5 คู่ บนหนวดมีปุ่มดูดเรียงเป็นแถว มีหน้าที่จับเหยื่อป้อนเข้าปาก
เป็นสัตว์ที่มีอยู่ในไฟลัมมอลลัสกา ชั้นเซฟาโลพอดซึ่งเป็นชั้นของสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่ม ชั้นย่อย Coleoidea ต่างจากกลุ่มสัตว์ที่ใกล้เคียงกันคือ Nautiloidea ซึ่งมีเปลือกแข็งห่อหุ้มภายนอกร่างกาย แต่หมึกส่วนใหญ่กลับมีกระดูกหรือเปลือกอยู่ภายในเพื่อใช้ประโยชน์ในการเป็นทุ่นหรือพยุงร่างกาย ซึ่งเรียกว่า ลิ้นทะเล ยังมีบางชนิดที่ไม่มีกระดูก แต่มีกระดูกอ่อนทดแทนเพื่อใช้ในการพยุงโครงสร้างร่างกาย
คำว่า Cephalopoda ซึ่งเป็นชื่อชั้นที่ใช้เรียกหมึก มาจากภาษากรีกแปลรวมกันว่า "สัตว์หัว-เท้า" (head-footed animals) เนื่องจากหมึกเป็นสัตว์ที่ไม่มีแขนขา เพียงแต่มีระยางค์ยื่นออกจากจากรอบ ๆ บริเวณปากเรียกว่า หนวด เท่านั้นเอง
หมึกวิวัฒนาการมาจากมอลลัสกา ในปลายยุคแคมเบรียน หรือราว 500 ล้านปีก่อน แต่กระนั้นหมึกและหอยในยุคปัจจุบันนี้ ก็ยังมีระบบทางร่างกายหลายอย่างเหมือนกัน กล่าวคือ ระบบทางเดินอาหาร, ปาก, ฟัน และกล้ามเนื้อแบบแมนเทิล
ปัจจุบัน ได้มีการค้นพบหมึกแล้วว่า 1,000 ชนิด ชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ หมึกมหึมา (Mesonychoteuthis hamiltoni) ซึ่งเป็นหมึกในอันดับหมึกกล้วย อาศัยอยู่ในห้วงน้ำลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก อาจยาวได้ถึง 14 เมตร นับเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย และเล็กที่สุดมีขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตรด้วยซ้ำ เช่น หมึกในวงศ์ Idiosepiidae เป็นต้น
หมึกมีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการใช้เป็นอาหารมาช้านาน ในแทบทุกวัฒนธรรม หมึกถือเป็นสัตว์ทะเลที่ใช้ปรุงเป็นอาหาร ซึ่งสามารถปรุงสุดได้ทั้งสดและตากแห้ง เช่น ในอาหารไทย เช่น หมึกผัดกะเพรา หรือ หมึกย่าง เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังใช้ทำเป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะลิ้นทะเล ซึ่งมีแคลเซียมเป็นจำนวนมาก จึงนิยมให้นกหรือสัตว์ปีกกินเพื่อเพิ่มแคลเซียมในร่างกาย
นอกจากนี้แล้ว หมึกยังมักถูกอ้างอิงถึงในวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะหมึกยักษ์หรือหมึกที่มีขนาดใหญ่ เช่น โจมตีใส่เรือดำน้ำนอติลุสของกัปตันนีโม ในนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Twenty Thousand Leagues Under the Sea เป็นต้น[2]
สำหรับหมึกที่พบในน่า
หอยแมงภู่ ลอยฟ้า ไม่เขื่ออย่าลบหลู่
หอยแมลงภู่ (อังกฤษ: Asian green mussel; ชื่อวิทยาศาสตร์: Perna viridis) จัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสคาเป็นหอยสองฝา สีของเปลือกเปลี่ยนไปตามสภาพการอยู่อาศัย กล่าวคือ ถ้าอยู่ใต้น้ำตลอดเวลามีสีเขียวอมดำ ถ้าอยู่บริเวณน้ำขึ้นน้ำลง ถูกแดดบ้างเปลือกจะออกเหลือง เปลือกด้านนอกมีสีเขียว ส่วนท้ายจะกว้างกว่าส่วนหน้า เนื้อหอยมีสีเหลืองนวลหรือสีส้ม มีหนวดหรือเส้นใยเหนียวสำหรับเกาะหลักเรียกว่า เกสร หรือ ซัง
หอยแมลงภู่ ขนาดความยาวของเปลือกหอยที่สามารถสืบพันธุ์ได้มีความยาวตั้งแต่ 2.13 เซนติเมตรขึ้นไป มีความยาวตั้งแต่ 4-20 เซนติเมตร เป็นหอยที่กระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลแถบอินโดแปซิฟิก กินอาหารแบบกรองกิน ซึ่งกินได้ทั้งแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ หอยแมลงภู่มีทั้งเพศแยก และมีสองเพศในตัวเดียวกัน มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว หอยเพศผู้จะมีลำตัวหรือที่ห่อหุ้มตัวสีครีมหรือขาว ส่วนเพศเมียจะมีสีส้ม มีช่วงฤดูสืบพันธุ์อยู่ 2 ช่วงในรอบ 1 ปี คือช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
หอยแมลงภู่ อาศัยด้วยการเกาะตามโขดหินและตามไม้ไผ่บริเวณชายฝั่งทะเล ห่างฝั่งประมาณ 1,000-3,000 เมตร ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้ง 2 ฝั่งทะเล
หอยแมลงภู่เมื่อปรุงสุกแล้ว
เป็นหอยที่นิยมบริโภคกันเป็นอย่างมาก สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น หอยทอด, ออส่วน เป็นต้น เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีการเพาะเลี้ยงกันมาเป็นเวลานาน โดยที่พันธุ์ของหอย เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงจะอาศัยจากธรรมชาติ ที่เมื่อหอยในธรรมชาติได้ผสมพันธุ์และปฏิสนธิเป็นลูกหอยตัวอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กลอยไปตามกระแสน้ำแบบแพลงก์ตอนแล้ว จะใช้วัสดุที่เพาะเลี้ยงปักลงไปในทะเล เพื่อให้ลูกหอยนั้นเกาะอาศัย[2] แบ่งออกได้เป็น การเลี้ยงแบบปักหลักล่อลูกหอย, การเลี้ยงแบบแพ, การเลี้ยงแบบแขวนบนราวเชือก และการเลี้ยงแบบตาข่ายเชือก แบบที่นิยมเลี้ยงกันมาก คือ แบบปักหลักล่อลูกหอย โดยใช้ไม้ไผ่หรือไม้ลวกในการล่อลูกหอยในระดับน้ำลึก 4-6 เมตร และเลี้ยงจนมีขนาดใหญ่ ถึงขนาดต้องการ บางแห่งนิยมใช้ไม้ไผ่ทำเป็นโป๊ะ เพื่อดักจับปลาและล่อลูกหอยในพื้นที่ 1 ไร่ หรือ 1,600 ตารางเมตร จะปักหลักได้ประมาณ 1,200 หลัก ทั้งนี้ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 6-8 เดือน จะได้หอยขนาดความยาวเฉลี่ย 5-6 เซนติเมตร เป็นขนาดที่สามารถส่งตลาด แต่ก็เป็นสัตว์ที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมมาก เช่น อุณหภูมิร้อน หรือน้ำเสีย หรือมีน้ำจืดปะปนลงมาในทะเลเป็นจำนวนมาก หอยก็จะตาย ซึ่งภายในรอบปีสามารถเลี้ยงได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น[2] นอกจากนี้แล้ว เปลือกหอยสามารถนำไปบดเพื่อผสมเป็นอาหารสัตว์ และผสมทำเป็นยา
ดูรายระเอียดเพิ่มเติม คลิ๊ก www.sunitjotravel.com
ปูทะเล ปูม้ายักษ์ ตัวใหญ่แค่ใหน ไปดูกัน....ปูม้า (อังกฤษ: Flower crab, Blue crab, Blue swimmer crab, Blue manna crab, Sand crab; ชื่อวิทยาศาสตร์: Portunus pelagicus) จัดเป็นปูที่อาศัยอยู่ในทะเลชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในสกุล Portunus
ปูม้า (อังกฤษ: Flower crab, Blue crab, Blue swimmer crab, Blue manna crab, Sand crab; ชื่อวิทยาศาสตร์: Portunus pelagicus) จัดเป็นปูที่อาศัยอยู่ในทะเลชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในสกุล Portunus ซึ่งพบทั้งหมด 90 ชนิดทั่วโลก และพบในน่านน้ำไทยราว 19 ชนิด
ปูม้าตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะแตกต่างกันที่จับปิ้งและสี ตัวผู้มีก้ามยาวเรียวกว่า มีสีฟ้าอ่อนและมีจุดขาวตกกระทั่วไปบนกระดองและก้าม พื้นท้องเป็นสีขาว จับปิ้งเป็นรูปสามเหลี่ยมเรียวสูง ตัวเมียจะมีก้ามสั้นกว่ากระดองและก้ามมีสีฟ้าอมน้ำตาลอ่อนและมีจุดขาวประทั่วไปทั้งกระดองและก้าม เมื่อถึงฤดูกาลวางไข่ ปูม้าตัวเมียจะมีไข่ติดอยู่บริเวณระยางค์ซึ่งเคยเป็นขาว่ายน้ำในระยะวัยอ่อน โดยในระยะแรกไข่จะอยู่ภายในกระดองต่อมากระดองทางหน้าท้องเปิดออกมาทำให้สามารถเห็นไข่ชัดเจน จึงมักเรียกปูม้าในระยะนี้ว่าปูม้าที่มีไข่นอกกระดอง ไข่นอกกระดองนี้ในขณะที่เจริญแบ่งเซลล์อยู่ภายในเปลือกไข่ สีของไข่จะค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีเหลืองอมส้มเป็นสีเหลืองปนเทา สีเทาและสีเทาอมดำ ปูม้าที่มีไข่สีเทาอมดำนั้นจะวางไข่ภายใน 1-2 วัน
ดูเพิ่มเติม คลิ๊ก.. www.sunitjotravel.com
KOH SAMUI เกาะสมุย สุดยอดแหล่งท่องเที่ยว ระดับโลก
sunitjo พาเที่ยว เกาะสมุยดินแดนที่ใครหลายคนไม่เคยไป แล้วจะตกใจ ร้อง โอ้โห นี่เหรอประเทศไทยอำเภอเกาะสมุย เป็นอำเภอที่มีสภาพเป็นหมู่เกาะในอ่าวไทยอยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่ 1 ใน 3 เป็นที่ราบซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งทางฝั่งทะเลอ่าวไทย อำเภอเกาะสมุยมีพื้นที่ของเกาะต่าง ๆ รวมกันรวมประมาณ 252 ตารางกิโลเมตร เฉพาะตัวเกาะสมุยเองมีพื้นที่ประมาณ 228 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ตและเกาะช้าง
เดิมเกาะสมุยมีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งปลูกมะพร้าว ปัจจุบันเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศที่ชาวต่างประเทศนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว มีร้านค้า โรงแรม และสถานบันเทิงต่าง ๆ มากมาย หาดที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนเกาะสมุย คือ หาดเฉวง บริเวณชายหาดยาวประมาณ 7 กิโลเมตร ถ้าได้ลงมือเดินตั้งแต่ต้นหาดจนกระทั่งถึงปลายหาดจะใช้เวลาประมาณถึง 2 ชั่วโมง เพราะการเดินบนผืนทรายไม่เหมือนการเดินบนพื้นดินปรกติ หาดที่มีความสวยงามเป็นอันดับรองลงมา คือ หาดละไม หาดเชิงมนต์ แหลมโจรคร่ำ หาดท้องยาง หาดหน้าทอน หาดพังกา และหาดตลิ่งงาม
|
จุดชมวิวลาดเกาะ เป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่สวยงาม สามารถมองเห็นทะเลกว้างจากมุมสูง ตรงจุดนี้เราสามารถเดินลงไปข้างล่างได้ จะมีทางลงไปจนถึงน้ำละเลข้างและมีศาลาให้พัก แต่หากมองจากข้างบนจะเห็นเป็นหน้าผาสูง จุดชมวิวนี้จะเป็น 1 ใน 2 ที่นักท่องเที่ยวแวะ ถ่ายรูปกันมาก ด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม หากขับรถไปก็สายถนนสายรอบเกาะ ก็จะถึงจุดชมวิวนี้ ถนนภายในเกาะจะมีแค่ 3 สายหลักๆ เท่านั้น รับรองว่าไม่หลงไปไหนถ้าไม่ข้ามเรือ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)