SILKSPAN

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข่าวด่วน ข่าวร้าย...เครื่องบินแอร์เอเชียที่ยวบิน QZ8501 พบแล้ว ของแอร์เอเซียร์ สายการบินโลคอสแอร์ไลน์ AIR ASIA

แอร์เอเชียอินโดนีเซีย ได้ออกแถลงการณ์
เครื่องบินแอร์เอเชียที่ยวบิน QZ8501 เป็นเครื่องบิน แอร์บัส เอ320-200 หมายเลขเครื่อง คือ PK-AXC ออกเดินทางจากสุราบายา สู่สิงคโปร์ ได้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบิน เมื่อเวลา 7.24 น. เช้าวันนี้ (28 ธ.ค. 2557) ขณะนี้ ยังไม่ทราบสถานะของผู้โดยสารและลูกเรือบนเที่ยวบินนี้ ส่งทีมเร่งค้นหาแล้ว เที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารทิ้งสิ้น 155 คน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 138 คน เด็ก 16 คน และทารก 1 คน รวมทั้งนักบิน 2 คนและลูกเรือ 5 คนชาวสิงคโปร์ 1 คน มาเลเซีย 1 คน เกาหลีใต้ 3 คน ฝรั่งเศส 1 คน และชาวอินโดนีเซีย 156 คน
       รายงานข่าวล่าสุด หน่วยNational Search and Rescue (Basarnas)ของอินโดนีเซีย แจ้งว่าเครื่องบินแอร์เอเชีย QZ8501ตกลงในมหาสมุทรที่พิกัด 03.22.46 S,108.50.07 E ห่างจากเกาะเบลิตุงประมาณ145กม.เนื่องจากประสบกับสภาพอากาศ
     
     
     
       สายการบินแอร์เอเชียอินโดนีเซีย ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยืนยันว่าเที่ยวบิน QZ8501 โดยให้บริการด้วยเครื่องบิน แอร์บัส เอ320-200 หมายเลขเครื่องคือ PK-AXC ออกเดินทางจากสุราบายาสู่สิงคโปร์ได้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบิน เมื่อเวลา 7.24 น. เช้าวันนี้ (28 ธ.ค. 2557) โดยขณะนี้ ยังไม่ทราบสถานะของผู้โดยสารและลูกเรือบนเที่ยวบินนี้ โดยจะแจ้งข้อมูลให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนทราบทันทีที่เรามีข้อมูลเพิ่มเติม
     
       ทั้งนี้ ทีมค้นหาและช่วยเหลือกำลังเร่งทำงานและแอร์เอเชียอินโดนีเซียได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อส่งความช่วยเหลือไปให้ ซึ่ง สายการบินแอร์เอเชียอินโดนีเซียได้จัดเตรียมหมายเลขฉุกเฉินสำหรับครอบครัวและญาติของผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าว คือ หมายเลข : +622129850801 (ขอสงวนเบอร์สายด่วนแอร์เอเชียฉุกเฉินไว้สำหรับเฉพาะให้ครอบครัวและญาติมิตรของผู้โดยสารเท่านั้น)และแอร์เอเชียอินโดนีเซียจะแจ้งข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมทันทีที่เรามีข้อมูล โดยสามารถติดตามได้ที่ www.airasia.com
     
       ล่าสุด สายการบินแอร์เอเชียอินโดนีเซีย ได้ชี้แจงเพิ่มเติมฉบับที่ 2 ว่าสายการบินแอร์เอเชียอินโดนีเซีย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องยืนยันว่าเที่ยวบิน QZ8501 ซึ่งออกเดินทางจากสุราบายา สู่ สิงคโปร์ได้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบิน เมื่อเวลา 7.24 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองสุราบายา) เช้าวันนี้ (28 ธ.ค. 2557) เที่ยวบินดังกล่าวออกเดินทางจากสนามบินจูอันดา เมืองสุราบายา เมื่อเวลา 05.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น
     
       เครื่องบินที่ให้บริการเที่ยวบินนี้คือ แอร์บัส เอ320-200 หมายเลขเครื่อง PK-AXC โดยมีนักบินจำนวน 2 คน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 4 คน และวิศกรอากาศยาน 1 คน
       กัปตันผู้ควบคุมเครื่องบินมีชั่วโมงบินทั้งสิ้น 6,100 ชั่วโมง ส่วนนักบินผู้ช่วยมีชั่วโมงบินทั้งสิ้น 2,275 ชั่วโมง
     
       เที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารทิ้งสิ้น 155 คน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 138 คน เด็ก 16 คน และทารก 1 คน รวมทั้งนักบิน 2 คนและลูกเรือ 5 คน
     
       ผู้โดยสารบนเที่ยวบินนี้ ประกอบด้วย ชาวสิงคโปร์ 1 คน ชาวมาเลเซีย 1 คน ชาวเกาหลีใต้ 3 คน ชาวฝรั่งเศส 1 คน และชาวอินโดนีเซีย 156 คน
     
       ขณะนี้ ทีมค้นหาและช่วยเหลือกำลังเร่งทำงานภายใต้คำแนะนำจากสถาบันการบินพลเรือนของอินโดนีเซีย (Indonesia of Civil Aviation Authority หรือ CAA) และแอร์เอเชียอินโดนีเซียได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในทุกทาง
     
       เครื่องบินทำการบินตามเส้นทางที่ได้แจ้งไว้ ก่อนจะถูกขอให้เบี่ยงออกจากเส้นทางระหว่างทางเนื่องจากสภาพอากาศ ก่อนจะขาดการสื่อสารกับหอบังคับการบิน ขณะนั้นยังอยู่ในการควบคุมของหอบังคับการบินอินโดนีเซีย (Indonesian Air Traffic Control หรือ ATC)
     
       รายงานข่าวล่าสุด หน่วยNational Search and Rescue (Basarnas)ของอินโดนีเซีย แจ้งว่าเครื่องบินแอร์เอเชีย QZ8501ตกลงในมหาสมุทรที่พิกัด 03.22.46 S,108.50.07 E ห่างจากเกาะเบลิตุงประมาณ145กม.เนื่องจากประสบกับสภาพอากาศ
     
       ขณะเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเหตุเครื่องบินแอร์บัส A320-200 ของสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน QZ8501 ขาดการติดต่อกับศูนย์บังคับการบินทางอากาศในจาการ์ตาของอินโดนีเซีย ตั้งแต่เมื่อเวลา 06.17 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลาในประเทศไทย หลังจากออกเดินทางจากเมืองซูราบายาของอินโดนีเซีย เมื่อเวลา 05.20 น. เพื่อมุ่งหน้าไปยังสิงคโปร์ โดยมีกำหนดเดินทางถึงสิงคโปร์ ในเวลา 08.30 น.แต่เครื่องบินได้ขาดการติดต่อไปบริเวณเหนือทะเลชวา เมื่อเวลา 07.24 น.
     
       สื่อมวลชนอินโดนีเซีย รายงานว่า เครื่องบินลำดังกล่าวบรรทุกผู้โดยสาร 155 คน และลูกเรืออีก 7 คน รวมทั้งหมด 162 คน ผู้โดยสารส่วนใหญ่ถือสัญชาติอินโดนีเซีย 149 คน ที่เหลือเป็นเกาหลีใต้ 3 คน มาเลเซีย 1 คน สิงคโปร์ 1 คน และอังกฤษ 1 คน
     
       ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่การบินคนหนึ่ง เปิดเผยว่า เครื่องบินได้ร้องขอเส้นทางใหม่ก่อนจะขาดการติดต่อไป ขณะนี้สายการบินแอร์เอเชียกำลังเร่งติดตามค้นหา และได้จัดตั้งสายด่วนเพื่อให้ข้อมูลแก่ครอบครัวและเพื่อนของผู้โดยสารบนเครื่องแล้ว
     
       ด้านสำนักงานการบินพลเรือนสิงคโปร์แถลงการณ์ว่า เครื่องบินขาดการติดต่อไปในขณะที่อยู่ในเขตข้อมูลการบินอินโดนีเซียห่างจากพรมแดนเขตข้อมูลการบินสิงคโปร์กับอินโดนีเซียไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 200 ไมล์ทะเล ขณะนี้สิงคโปรได้เตรียมพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกองทัพอากาศและกองทัพเรือ เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการอินโดนีเซียในการค้นหาเครื่องบิน
     
       นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า ขณะบินไม่มีประกาศเตือนเรื่องพายุในสิงคโปร์

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปูทะเล ปูม้ายักษ์ ตัวใหญ่แค่ใหน ไปดูกัน....

หอยแมงภู่ ลอยฟ้า ไม่เขื่ออย่าลบหลู่



หอยแมลงภู่ (อังกฤษ: Asian green mussel; ชื่อวิทยาศาสตร์: Perna viridis) จัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสคาเป็นหอยสองฝา สีของเปลือกเปลี่ยนไปตามสภาพการอยู่อาศัย กล่าวคือ ถ้าอยู่ใต้น้ำตลอดเวลามีสีเขียวอมดำ ถ้าอยู่บริเวณน้ำขึ้นน้ำลง ถูกแดดบ้างเปลือกจะออกเหลือง เปลือกด้านนอกมีสีเขียว ส่วนท้ายจะกว้างกว่าส่วนหน้า เนื้อหอยมีสีเหลืองนวลหรือสีส้ม มีหนวดหรือเส้นใยเหนียวสำหรับเกาะหลักเรียกว่า เกสร หรือ ซัง

หอยแมลงภู่ ขนาดความยาวของเปลือกหอยที่สามารถสืบพันธุ์ได้มีความยาวตั้งแต่ 2.13 เซนติเมตรขึ้นไป มีความยาวตั้งแต่ 4-20 เซนติเมตร เป็นหอยที่กระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลแถบอินโดแปซิฟิก กินอาหารแบบกรองกิน ซึ่งกินได้ทั้งแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ หอยแมลงภู่มีทั้งเพศแยก และมีสองเพศในตัวเดียวกัน มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว หอยเพศผู้จะมีลำตัวหรือที่ห่อหุ้มตัวสีครีมหรือขาว ส่วนเพศเมียจะมีสีส้ม มีช่วงฤดูสืบพันธุ์อยู่ 2 ช่วงในรอบ 1 ปี คือช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์

หอยแมลงภู่ อาศัยด้วยการเกาะตามโขดหินและตามไม้ไผ่บริเวณชายฝั่งทะเล ห่างฝั่งประมาณ 1,000-3,000 เมตร ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้ง 2 ฝั่งทะเล


หอยแมลงภู่เมื่อปรุงสุกแล้ว
เป็นหอยที่นิยมบริโภคกันเป็นอย่างมาก สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น หอยทอด, ออส่วน เป็นต้น เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีการเพาะเลี้ยงกันมาเป็นเวลานาน โดยที่พันธุ์ของหอย เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงจะอาศัยจากธรรมชาติ ที่เมื่อหอยในธรรมชาติได้ผสมพันธุ์และปฏิสนธิเป็นลูกหอยตัวอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กลอยไปตามกระแสน้ำแบบแพลงก์ตอนแล้ว จะใช้วัสดุที่เพาะเลี้ยงปักลงไปในทะเล เพื่อให้ลูกหอยนั้นเกาะอาศัย[2] แบ่งออกได้เป็น การเลี้ยงแบบปักหลักล่อลูกหอย, การเลี้ยงแบบแพ, การเลี้ยงแบบแขวนบนราวเชือก และการเลี้ยงแบบตาข่ายเชือก แบบที่นิยมเลี้ยงกันมาก คือ แบบปักหลักล่อลูกหอย โดยใช้ไม้ไผ่หรือไม้ลวกในการล่อลูกหอยในระดับน้ำลึก 4-6 เมตร และเลี้ยงจนมีขนาดใหญ่ ถึงขนาดต้องการ บางแห่งนิยมใช้ไม้ไผ่ทำเป็นโป๊ะ เพื่อดักจับปลาและล่อลูกหอยในพื้นที่ 1 ไร่ หรือ 1,600 ตารางเมตร จะปักหลักได้ประมาณ 1,200 หลัก ทั้งนี้ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 6-8 เดือน จะได้หอยขนาดความยาวเฉลี่ย 5-6 เซนติเมตร เป็นขนาดที่สามารถส่งตลาด แต่ก็เป็นสัตว์ที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมมาก เช่น อุณหภูมิร้อน หรือน้ำเสีย หรือมีน้ำจืดปะปนลงมาในทะเลเป็นจำนวนมาก หอยก็จะตาย ซึ่งภายในรอบปีสามารถเลี้ยงได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น[2] นอกจากนี้แล้ว เปลือกหอยสามารถนำไปบดเพื่อผสมเป็นอาหารสัตว์ และผสมทำเป็นยา

ดูกันแบบ เห็นๆ นี่คือถุงน้ำหมึก ของหมึกกระดอง เอาใว้พ่นใส่เพื่อพลางตัว หมึกหรือปลาหมึก[1] (อังกฤษ: Cuttlefish, Octopus)



หมึกหรือปลาหมึก[1] (อังกฤษ: Cuttlefish, Octopus) เป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีขนาดใหญ่ เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว และว่องไว มีหนวดรอบปาก 4-5 คู่ บนหนวดมีปุ่มดูดเรียงเป็นแถว มีหน้าที่จับเหยื่อป้อนเข้าปาก

เป็นสัตว์ที่มีอยู่ในไฟลัมมอลลัสกา ชั้นเซฟาโลพอดซึ่งเป็นชั้นของสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่ม ชั้นย่อย Coleoidea ต่างจากกลุ่มสัตว์ที่ใกล้เคียงกันคือ Nautiloidea ซึ่งมีเปลือกแข็งห่อหุ้มภายนอกร่างกาย แต่หมึกส่วนใหญ่กลับมีกระดูกหรือเปลือกอยู่ภายในเพื่อใช้ประโยชน์ในการเป็นทุ่นหรือพยุงร่างกาย ซึ่งเรียกว่า ลิ้นทะเล ยังมีบางชนิดที่ไม่มีกระดูก แต่มีกระดูกอ่อนทดแทนเพื่อใช้ในการพยุงโครงสร้างร่างกาย

คำว่า Cephalopoda ซึ่งเป็นชื่อชั้นที่ใช้เรียกหมึก มาจากภาษากรีกแปลรวมกันว่า "สัตว์หัว-เท้า" (head-footed animals) เนื่องจากหมึกเป็นสัตว์ที่ไม่มีแขนขา เพียงแต่มีระยางค์ยื่นออกจากจากรอบ ๆ บริเวณปากเรียกว่า หนวด เท่านั้นเอง

หมึกวิวัฒนาการมาจากมอลลัสกา ในปลายยุคแคมเบรียน หรือราว 500 ล้านปีก่อน แต่กระนั้นหมึกและหอยในยุคปัจจุบันนี้ ก็ยังมีระบบทางร่างกายหลายอย่างเหมือนกัน กล่าวคือ ระบบทางเดินอาหาร, ปาก, ฟัน และกล้ามเนื้อแบบแมนเทิล

ปัจจุบัน ได้มีการค้นพบหมึกแล้วว่า 1,000 ชนิด ชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ หมึกมหึมา (Mesonychoteuthis hamiltoni) ซึ่งเป็นหมึกในอันดับหมึกกล้วย อาศัยอยู่ในห้วงน้ำลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก อาจยาวได้ถึง 14 เมตร นับเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย และเล็กที่สุดมีขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตรด้วยซ้ำ เช่น หมึกในวงศ์ Idiosepiidae เป็นต้น

หมึกมีความสำคัญต่อมนุษย์ในแง่ของการใช้เป็นอาหารมาช้านาน ในแทบทุกวัฒนธรรม หมึกถือเป็นสัตว์ทะเลที่ใช้ปรุงเป็นอาหาร ซึ่งสามารถปรุงสุดได้ทั้งสดและตากแห้ง เช่น ในอาหารไทย เช่น หมึกผัดกะเพรา หรือ หมึกย่าง เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังใช้ทำเป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะลิ้นทะเล ซึ่งมีแคลเซียมเป็นจำนวนมาก จึงนิยมให้นกหรือสัตว์ปีกกินเพื่อเพิ่มแคลเซียมในร่างกาย

นอกจากนี้แล้ว หมึกยังมักถูกอ้างอิงถึงในวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะหมึกยักษ์หรือหมึกที่มีขนาดใหญ่ เช่น โจมตีใส่เรือดำน้ำนอติลุสของกัปตันนีโม ในนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Twenty Thousand Leagues Under the Sea เป็นต้น[2]

สำหรับหมึกที่พบในน่า

หอยแมงภู่ ลอยฟ้า ไม่เขื่ออย่าลบหลู่



หอยแมลงภู่ (อังกฤษ: Asian green mussel; ชื่อวิทยาศาสตร์: Perna viridis) จัดอยู่ในไฟลัมมอลลัสคาเป็นหอยสองฝา สีของเปลือกเปลี่ยนไปตามสภาพการอยู่อาศัย กล่าวคือ ถ้าอยู่ใต้น้ำตลอดเวลามีสีเขียวอมดำ ถ้าอยู่บริเวณน้ำขึ้นน้ำลง ถูกแดดบ้างเปลือกจะออกเหลือง เปลือกด้านนอกมีสีเขียว ส่วนท้ายจะกว้างกว่าส่วนหน้า เนื้อหอยมีสีเหลืองนวลหรือสีส้ม มีหนวดหรือเส้นใยเหนียวสำหรับเกาะหลักเรียกว่า เกสร หรือ ซัง

หอยแมลงภู่ ขนาดความยาวของเปลือกหอยที่สามารถสืบพันธุ์ได้มีความยาวตั้งแต่ 2.13 เซนติเมตรขึ้นไป มีความยาวตั้งแต่ 4-20 เซนติเมตร เป็นหอยที่กระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลแถบอินโดแปซิฟิก กินอาหารแบบกรองกิน ซึ่งกินได้ทั้งแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ หอยแมลงภู่มีทั้งเพศแยก และมีสองเพศในตัวเดียวกัน มีการผสมพันธุ์นอกลำตัว หอยเพศผู้จะมีลำตัวหรือที่ห่อหุ้มตัวสีครีมหรือขาว ส่วนเพศเมียจะมีสีส้ม มีช่วงฤดูสืบพันธุ์อยู่ 2 ช่วงในรอบ 1 ปี คือช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์

หอยแมลงภู่ อาศัยด้วยการเกาะตามโขดหินและตามไม้ไผ่บริเวณชายฝั่งทะเล ห่างฝั่งประมาณ 1,000-3,000 เมตร ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้ง 2 ฝั่งทะเล


หอยแมลงภู่เมื่อปรุงสุกแล้ว
เป็นหอยที่นิยมบริโภคกันเป็นอย่างมาก สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น หอยทอด, ออส่วน เป็นต้น เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีการเพาะเลี้ยงกันมาเป็นเวลานาน โดยที่พันธุ์ของหอย เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงจะอาศัยจากธรรมชาติ ที่เมื่อหอยในธรรมชาติได้ผสมพันธุ์และปฏิสนธิเป็นลูกหอยตัวอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กลอยไปตามกระแสน้ำแบบแพลงก์ตอนแล้ว จะใช้วัสดุที่เพาะเลี้ยงปักลงไปในทะเล เพื่อให้ลูกหอยนั้นเกาะอาศัย[2] แบ่งออกได้เป็น การเลี้ยงแบบปักหลักล่อลูกหอย, การเลี้ยงแบบแพ, การเลี้ยงแบบแขวนบนราวเชือก และการเลี้ยงแบบตาข่ายเชือก แบบที่นิยมเลี้ยงกันมาก คือ แบบปักหลักล่อลูกหอย โดยใช้ไม้ไผ่หรือไม้ลวกในการล่อลูกหอยในระดับน้ำลึก 4-6 เมตร และเลี้ยงจนมีขนาดใหญ่ ถึงขนาดต้องการ บางแห่งนิยมใช้ไม้ไผ่ทำเป็นโป๊ะ เพื่อดักจับปลาและล่อลูกหอยในพื้นที่ 1 ไร่ หรือ 1,600 ตารางเมตร จะปักหลักได้ประมาณ 1,200 หลัก ทั้งนี้ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยง 6-8 เดือน จะได้หอยขนาดความยาวเฉลี่ย 5-6 เซนติเมตร เป็นขนาดที่สามารถส่งตลาด แต่ก็เป็นสัตว์ที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมมาก เช่น อุณหภูมิร้อน หรือน้ำเสีย หรือมีน้ำจืดปะปนลงมาในทะเลเป็นจำนวนมาก หอยก็จะตาย ซึ่งภายในรอบปีสามารถเลี้ยงได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น[2] นอกจากนี้แล้ว เปลือกหอยสามารถนำไปบดเพื่อผสมเป็นอาหารสัตว์ และผสมทำเป็นยา
 ดูรายระเอียดเพิ่มเติม  คลิ๊ก  www.sunitjotravel.com

ปูทะเล ปูม้ายักษ์ ตัวใหญ่แค่ใหน ไปดูกัน....ปูม้า (อังกฤษ: Flower crab, Blue crab, Blue swimmer crab, Blue manna crab, Sand crab; ชื่อวิทยาศาสตร์: Portunus pelagicus) จัดเป็นปูที่อาศัยอยู่ในทะเลชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในสกุล Portunus



ปูม้า (อังกฤษ: Flower crab, Blue crab, Blue swimmer crab, Blue manna crab, Sand crab; ชื่อวิทยาศาสตร์: Portunus pelagicus) จัดเป็นปูที่อาศัยอยู่ในทะเลชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในสกุล Portunus ซึ่งพบทั้งหมด 90 ชนิดทั่วโลก และพบในน่านน้ำไทยราว 19 ชนิด
ปูม้าตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะแตกต่างกันที่จับปิ้งและสี ตัวผู้มีก้ามยาวเรียวกว่า มีสีฟ้าอ่อนและมีจุดขาวตกกระทั่วไปบนกระดองและก้าม พื้นท้องเป็นสีขาว จับปิ้งเป็นรูปสามเหลี่ยมเรียวสูง ตัวเมียจะมีก้ามสั้นกว่ากระดองและก้ามมีสีฟ้าอมน้ำตาลอ่อนและมีจุดขาวประทั่วไปทั้งกระดองและก้าม เมื่อถึงฤดูกาลวางไข่ ปูม้าตัวเมียจะมีไข่ติดอยู่บริเวณระยางค์ซึ่งเคยเป็นขาว่ายน้ำในระยะวัยอ่อน โดยในระยะแรกไข่จะอยู่ภายในกระดองต่อมากระดองทางหน้าท้องเปิดออกมาทำให้สามารถเห็นไข่ชัดเจน จึงมักเรียกปูม้าในระยะนี้ว่าปูม้าที่มีไข่นอกกระดอง ไข่นอกกระดองนี้ในขณะที่เจริญแบ่งเซลล์อยู่ภายในเปลือกไข่ สีของไข่จะค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีเหลืองอมส้มเป็นสีเหลืองปนเทา สีเทาและสีเทาอมดำ ปูม้าที่มีไข่สีเทาอมดำนั้นจะวางไข่ภายใน 1-2 วัน
ดูเพิ่มเติม คลิ๊ก..  www.sunitjotravel.com

KOH SAMUI เกาะสมุย สุดยอดแหล่งท่องเที่ยว ระดับโลก

sunitjo  พาเที่ยว เกาะสมุยดินแดนที่ใครหลายคนไม่เคยไป แล้วจะตกใจ ร้อง โอ้โห นี่เหรอประเทศไทยอำเภอเกาะสมุย เป็นอำเภอที่มีสภาพเป็นหมู่เกาะในอ่าวไทยอยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่ 1 ใน 3 เป็นที่ราบซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งทางฝั่งทะเลอ่าวไทย อำเภอเกาะสมุยมีพื้นที่ของเกาะต่าง ๆ รวมกันรวมประมาณ 252 ตารางกิโลเมตร เฉพาะตัวเกาะสมุยเองมีพื้นที่ประมาณ 228 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ตและเกาะช้าง

เดิมเกาะสมุยมีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งปลูกมะพร้าว ปัจจุบันเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศที่ชาวต่างประเทศนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว มีร้านค้า โรงแรม และสถานบันเทิงต่าง ๆ มากมาย หาดที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนเกาะสมุย คือ หาดเฉวง บริเวณชายหาดยาวประมาณ 7 กิโลเมตร ถ้าได้ลงมือเดินตั้งแต่ต้นหาดจนกระทั่งถึงปลายหาดจะใช้เวลาประมาณถึง 2 ชั่วโมง เพราะการเดินบนผืนทรายไม่เหมือนการเดินบนพื้นดินปรกติ หาดที่มีความสวยงามเป็นอันดับรองลงมา คือ หาดละไม หาดเชิงมนต์ แหลมโจรคร่ำ หาดท้องยาง หาดหน้าทอน หาดพังกา และหาดตลิ่งงาม
อำเภอเกาะสมุยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 ตำบล 39 หมู่บ้าน ได้แก่
1.อ่างทอง(Ang Thong)6 หมู่บ้าน
2.ลิปะน้อย(Lipa Noi)5 หมู่บ้าน
3.ตลิ่งงาม(Taling Ngam)5 หมู่บ้าน
4.หน้าเมือง(Na Mueang)5 หมู่บ้าน
5.มะเร็ต(Maret)6 หมู่บ้าน
6.บ่อผุด(Bo Phut)6 หมู่บ้าน
7.แม่น้ำ(Mae Nam)6 หมู่บ้าน
   

 


























































จุดชมวิวลาดเกาะ เป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่สวยงาม สามารถมองเห็นทะเลกว้างจากมุมสูง ตรงจุดนี้เราสามารถเดินลงไปข้างล่างได้ จะมีทางลงไปจนถึงน้ำละเลข้างและมีศาลาให้พัก แต่หากมองจากข้างบนจะเห็นเป็นหน้าผาสูง จุดชมวิวนี้จะเป็น 1 ใน 2 ที่นักท่องเที่ยวแวะ ถ่ายรูปกันมาก ด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม หากขับรถไปก็สายถนนสายรอบเกาะ ก็จะถึงจุดชมวิวนี้ ถนนภายในเกาะจะมีแค่ 3 สายหลักๆ เท่านั้น รับรองว่าไม่หลงไปไหนถ้าไม่ข้ามเรือ